รางเก็บสายไฟที่ว่าดีสามารถป้องกันอันตรายจากไฟรั่ว ไฟฟ้าลัดวงจร ราคาถูก แถมยังใช้ได้ทั้งภายนอกและภายใน คุณรู้หรือเปล่าว่าจริง ๆ แล้วรางสา ยไฟทำจากวัสดุอะไรบ้าง บอกเลยว่าไม่ใช่แค่อลูมิเนียมหรือพลาสติกเท่านั้น แต่ยังมีวัสดุอื่น ๆ ให้เลือกใช้อีกเพียบ แต่จะมีอะไรและแต่ละอย่างมีคุณสมบัติอย่างไรไปดู
รางสายไฟมีกี่ประเภท
หลัก ๆ รางสายไฟมี 3 ประเภทโดยมีเกณฑ์การแบ่ง 2 ดังนี้
1. แบ่งตามสถานที่มีทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่
- รางสายไฟสำหรับใช้ในบ้านหรือที่พักอาศัย
- รางสายไฟสำหรับอาคาร สำนักงาน และคอนโด
- รางเก็บสายไฟภายในบริษัทและคอนโดขนาดใหญ่
2. แบ่งตามการใช้งานทั้งหมด 3 แบบ ดังนี้
- Wire Duct หรือรางสายไฟแบบโปร่ง เหมาะสำหรับการใช้ในแผงควบคุมหรือตู้คอนโทรล
- Wire Way หรือรางสายไฟแบบทึบ เหมาะสำหรับการใช้ทั้งภายในและภายนอกของบ้าน และอาคารต่าง ๆ
- floor Duct หรือรางสายไฟแบบโค้ง เหมาะสำหรับการใช้ในอาคาร โดยเฉพาะในห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้าต่าง ๆ
รางเก็บสายไฟทำจากวัสดุอะไรบ้าง
หลัก ๆ รางสายไฟที่มีขายในท้องตลาดนอกเหนือจากเหล็กและอลูมิเนียม ดังนี้
- เรซิ่น ช่วยให้รางมีคุณสมบัติทนความร้อนได้สูงสุดที่อุณหภูมิ 120 องศา และมีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้า
- PVC มีคุณสมบัติสามารถรับแรงกระแทกได้ 21 กิโลกรัมต่อซม.2 ช่วงอุณหภูมิใช้งานเริ่มต้น – 20 องศาเซลเซียสถึง +60 องศาเซลเซียส ผลต่อแรงตึง 436 กิโลกรัม วัสดุติดตั้งง่ายมีให้เลือกหลายขนาด
เลือกให้เหมาะกับการใช้งานยังไง
รางเก็บสายไฟนั้นมีทั้งแบบใช้ภายในและภายนอก ก่อนใช้จึงจำเป็นต้องรู้ว่าควรเลือกรางสายไฟยังไงให้เหมาะสม หลัก ๆ มีคำแนะนำ ดังนี้
- ใช้ภายในอาคาร ควรเลือกวัสดุที่เป็นพลาสติกหรือเรซิ่น
- ใช้ภายนอกอาคาร เลือกวัสดุที่เป็นอลูมิเนียมหรือ PVC เพราะช่วยเพิ่มความคงทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
- ใช้อุปกรณ์รางแบบเฉพาะ แน่นอนว่าการตั้งรางไม่ได้มีเพียงแค่ราง แต่ยังมีทั้งตัวยึด ฝาครอบ และอื่น ๆ ต้องใช้ให้ถูกและเหมาะสม ไม่ใช่อยากได้กาวสองหน้าก็ใช้กาวสองหน้าธรรมดา
- ตรวจสอบความยาวให้ดี ก่อนซื้ออย่าลืมวัดความยาวสายไฟให้ดีว่าต้องใช้เท่าไหร่ และซื้อแบบเผื่อเหลือเผื่อขาดจะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง
- เลือกให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานตามที่ถูกออกแบบมา ไม่ใช่นำไปใช้งานผิดประเภท เช่น รางสายไฟแบบโปร่งติดตั้งบริเวณทางเดินประตู แบบนี้ไม่เอา
เห็นหรือไม่ว่ารางสายไฟนั้นทำจากวัสดุค่อนข้างหลากหลาย มีคุณสมบัติในการทนต่อสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมโดยรอบต่างกัน ดังนั้นก่อนซื้อควรดูให้ดีว่าจะใช้ในงานอะไร ภายนอกหรือภายใน หรือจะให้ดีควรทราบขนาดพื้นที่ทั้งความกว้างและความยาวของบริเวณที่ติดตั้งด้วย ช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าซื้อมาแล้วตรงกับลักษณะการใช้งานจริง